
ขนมไทยชาววัง มีต้นกำเนิดมาจาก ขนมไทยโบราณ ที่ปรุงขึ้นสำหรับชาววังในสมัยอยุธยา โดยได้รับอิทธิพลจากขนมโปรตุเกสที่เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยในสมัยนั้น บุคคลสำคัญที่มีส่วนสำคัญใน การพัฒนาขนมไทยชาววัง คือ ท้าวทองกีบม้า หรือมารี กีมาร์ ชาวโปรตุเกสที่เข้ามารับราชการในราชสำนักไทยในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ท้าวทองกีบม้าได้นำความรู้ในการทำขนมโปรตุเกสมาปรับใช้กับขนมไทย โดยใช้วัตถุดิบและส่วนผสมจากท้องถิ่นไทย ทำให้ขนมไทยมีรสชาติและรูปแบบที่แปลกใหม่และสวยงาม
ขนมไทยชาววังสมัยโบราณ ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ชาววังและชนชั้นสูง เนื่องจากมีรสชาติที่หวานหอมและสวยงาม นิยมรับประทานในงานมงคลต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ เป็นต้นในปัจจุบัน ขนมไทยชาววังได้รับความนิยม และได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ขนมไทยชาววังเป็นเอกลักษณ์ ของความเป็นไทยที่ควรค่าแก่การสืบสานและอนุรักษ์ไว้ให้คงอยู่ต่อไป
ลักษณะพิเศษของ ขนมไทยชาววัง
ขนมไทยชาววังมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากขนมไทยทั่วไป ดังนี้
- มักใช้วัตถุดิบและส่วนผสมที่หายากและราคาแพง เช่น ไข่แดง กะทิ น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลมะพร้าว
- มีการประดับตกแต่งอย่างสวยงามและประณีต
- มักมีชื่อที่สื่อถึงความเป็นมงคล
- แจกสูตรขนมไทยชาววัง
บุหลันดั้นเมฆ
บุหลันดั้นเมฆ เป็นขนมไทยโบราณชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตรงกลางเป็นลักยิ้มวงกลมที่มีสีเหลืองและผิวโดยรอบสีม่วงอมน้ำเงิน คำว่า “บุหลัน” หมายถึง ดวงจันทร์ ส่วนคำว่า “ดั้นเมฆ” หมายถึง ลอยอยู่เหนือเมฆ จึงเป็นขนมที่สื่อถึงพระจันทร์ที่ลอยอยู่เหนือหมู่เมฆยามค่ำคืน
บุหลันดั้นเมฆ มีต้นกำเนิดในสมัยรัชกาลที่ 2 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเพลงพระราชนิพนธ์ “บุหลันเลื่อนลอย” ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 เดิมทีขนมชนิดนี้เรียกว่า “บุหลันลอย” ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “บุหลันดั้นเมฆ” เพื่อให้สื่อถึงความหมายของขนมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ภาพจาก : https://mthai.com/lifestyle/food/
ส่วนประกอบของบุหลันดั้นเมฆ ประกอบด้วย
- แป้งข้าวเจ้า
- แป้งเท้ายายม่อม
- น้ำตาลทราย
- น้ำดอกอัญชัน
- ไข่แดง
- กลิ่นมะลิ
วิธีทำบุหลันดั้นเมฆ มีดังนี้
1.ผสมแป้งข้าวเจ้าและแป้งเท้ายายม่อมให้เข้ากัน
2.ใส่น้ำตาลทรายและน้ำดอกอัญชันลงไป คนให้เข้ากัน
3.กรองส่วนผสมด้วยผ้าขาวบาง
4.เทส่วนผสมลงในถ้วยตะไลที่รองด้วยกระดาษไข
5.ใส่ไข่แดงลงไปตรงกลาง
6.นำไปนึ่งในน้ำเดือดจัดเป็นเวลาประมาณ 15 นาที
7.นำออกจากลังถึง พักให้เย็น
8.ตักใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ
ขนมพระพาย
ขนมพระพาย เป็นขนมไทยโบราณชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นก้อนกลม ๆ แป้งหุ้มด้านนอกมีสีสันต่าง ๆ ส่วนไส้ด้านในเป็นถั่วเขียวกวนหวาน คำว่า “พระพาย” หมายถึง ลม จึงเป็นขนมที่สื่อถึงความรักที่อ่อนโยนและอบอุ่นดุจสายลม
ขนมพระพาย มีต้นกำเนิดในสมัยโบราณ นิยมใช้ในพิธีแต่งงาน โดยแป้งที่ห่อหุ้มอยู่ด้านนอกสื่อถึงความเหนียวแน่นมั่นคง ส่วนตัวไส้ที่มีรสชาติหวานสื่อถึงความรักอันแสนหวานของคู่แต่งงาน โดยทั่วไปแล้วขนมพระพายจะมีหลากหลายสีสัน แต่สูตรดั้งเดิมนิยมใช้สีเขียวจากใบเตยหรือสีฟ้าจากน้ำดอกอัญชัน

ภาพจาก : https://www.pinterest.com/
ส่วนประกอบของขนมพระพาย ประกอบด้วย
- แป้งข้าวเหนียว
- แป้งข้าวเจ้า
- น้ำใบเตยหรือน้ำดอกอัญชัน
- กะทิ
- น้ำตาลทราย
- ถั่วเขียวเลาะเปลือก
วิธีทำขนมพระพาย มีดังนี้
1. ผสมแป้งข้าวเหนียวและแป้งข้าวเจ้าให้เข้ากัน
2. ใส่น้ำใบเตยหรือน้ำดอกอัญชันลงไป นวดให้เข้ากันจนเนื้อเนียน
3. แบ่งแป้งออกเป็นก้อนกลม ๆ ใส่สีตามชอบ
4. ปั้นถั่วเขียวเลาะเปลือกเป็นก้อนกลม ๆ
5. นำแป้งที่ปั้นเป็นก้อนกลม ๆ มาห่อไส้ถั่วเขียว
6. นำไปนึ่งในน้ำเดือดจัดเป็นเวลาประมาณ 10 นาที
7. นำออกจากลังถึง พักให้เย็น
8. ราดน้ำกะทิและน้ำตาลทราย พร้อมเสิร์ฟ
ขนมเบื้อง
ขนมเบื้อง เป็นขนมไทยโบราณชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นแผ่นแป้งบาง ๆ ทอดจนกรอบ นิยมรับประทานคู่กับไส้ต่าง ๆ เช่น ไส้หวาน ไส้เค็ม หรือไส้คาว
ประวัติของขนมเบื้องนั้นสันนิษฐานว่า มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยปรากฏหลักฐานในคำให้การขุนหลวงหาวัดว่า “บ้านหม้อปั้นหม้อข้าวหม้อแกงใหญ่เล็ก และกระทะเตาขนมครกขนมเบื้อง” คำว่า “ขนมเบื้อง” นั้น มาจากคำว่า “เบื้อง” ซึ่งหมายถึง แผ่นบาง ๆ และคำว่า “ขนม” ซึ่งหมายถึง อาหารหวานหรืออาหารว่าง

ภาพจาก : https://bakery-lover.com/
ส่วนประกอบของขนมเบื้อง ประกอบด้วย
- แป้งข้าวเจ้า
- ไข่แดง
- น้ำปูนใส
- น้ำตาลปี๊บ
- ไส้ต่าง ๆ เช่น ไส้หวาน ไส้เค็ม หรือไส้คาว
วิธีทำขนมเบื้อง มีดังนี้
1.ผสมแป้งข้าวเจ้า ไข่แดง น้ำปูนใส และน้ำตาลปี๊บให้เข้ากัน
2.กรองส่วนผสมด้วยผ้าขาวบาง
3.ตั้งกระทะใส่น้ำมันให้ร้อน
4.ละเลงแป้งลงบนกระทะบาง ๆ
5.ทอดจนแป้งสุกเหลืองกรอบ
6.วางไส้ลงบนแผ่นแป้ง
7.พับแผ่นแป้งครึ่งหนึ่ง
8.ทอดจนแป้งสุกเหลืองกรอบ
9.ตักใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ
วุ้นกะทิ
วุ้นกะทิ เป็นขนมหวานไทยชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นวุ้นใสมีเนื้อกะทิอยู่ด้านบน นิยมรับประทานเป็นของหวานหรือเป็นของว่าง
วุ้นกะทิมีต้นกำเนิดในสมัยโบราณ นิยมทำกันในครอบครัวหรือในงานบุญต่าง ๆ โดยทั่วไปแล้ววุ้นกะทิจะมีสีใส แต่ในปัจจุบันมีการพัฒนาสูตรให้วุ้นกะทิมีสีสันต่าง ๆ มากขึ้น

ภาพจาก : https://cooking.kapook.com/
ส่วนประกอบของวุ้นกะทิ ประกอบด้วย
- น้ำเปล่า
- ผงวุ้น
- กะทิ
- น้ำตาลทราย
- เกลือ
วิธีทำวุ้นกะทิ มีดังนี้
1.แช่ผงวุ้นในน้ำเปล่าเป็นเวลา 10-15 นาที
2.ตั้งหม้อใส่น้ำเปล่าและผงวุ้นที่แช่แล้ว ต้มจนเดือด คนจนผงวุ้นละลายหมด
3.ใส่น้ำตาลทรายและเกลือลงไป คนให้เข้ากัน
4.เทน้ำกะทิลงไป คนให้เข้ากัน
5.เทวุ้นใสลงในถาดหรือพิมพ์ที่เตรียมไว้
6.พักให้วุ้นใสเซ็ตตัว
7.เทวุ้นกะทิลงไปบนวุ้นใส
8.พักให้วุ้นกะทิเซ็ตตัว
9.ตักใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ
ลูกชุบ
ลูกชุบ เป็นขนมไทยโบราณชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นถั่วเขียวกวนปั้นเป็นรูปทรงต่าง ๆ เช่น ดอกไม้ ผลไม้ สัตว์ เป็นต้น แล้วนำไปชุบด้วยวุ้นใส คำว่า “ลูกชุบ” นั้น มาจากคำว่า “ลูก” หมายถึง ชิ้นเล็ก ๆ และคำว่า “ชุบ” หมายถึง การเคลือบหรือหุ้ม จึงเป็นขนมที่มีลักษณะเป็นชิ้นเล็ก ๆ เคลือบด้วยวุ้นใส
ลูกชุบมีต้นกำเนิดในสมัยอยุธยา โดยชาวโปรตุเกสได้นำขนมอัลมอนด์มาเผยแพร่ในประเทศไทย ต่อมาได้มีการดัดแปลงสูตรโดยใช้ถั่วเขียวแทนอัลมอนด์ ทำให้ลูกชุบเป็นขนมที่คนไทยนิยมรับประทานมาจนถึงปัจจุบัน

ภาพจาก : https://mthai.com/lifestyle/food/
ส่วนประกอบของลูกชุบ ประกอบด้วย
- ถั่วเขียวเลาะเปลือก
- กะทิ
- น้ำตาลทราย
- วุ้น
- สีผสมอาหาร
วิธีทำลูกชุบ มีดังนี้
1.ล้างถั่วเขียวเลาะเปลือกให้สะอาด แช่น้ำไว้อย่างน้อย 4 ชั่วโมง
2.เทน้ำออก นำไปนึ่งในน้ำเดือดจัดเป็นเวลาประมาณ 30 นาที
3.เทถั่วเขียวที่นึ่งสุกแล้วลงในกะทิ ใส่น้ำตาลทรายลงไป คนให้เข้ากัน
4.นำไปกวนจนถั่วเขียวสุกเป็นเนื้อเดียวกัน
5.แบ่งถั่วเขียวกวนออกเป็นก้อนกลม ๆ ใส่สีตามชอบ
6.ปั้นถั่วเขียวกวนเป็นรูปร่างต่าง ๆ ที่ต้องการ
7.นำไปชุบด้วยวุ้นที่ผสมกับน้ำเย็น
8.พักให้วุ้นเซ็ตตัว
9.ตักใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ
เครดิต : อาหารไทย
ติดตามอาหารไทยเพิ่มเติม : อาหารพื้นเมืองภาคเหนือ